วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

ข้อมูลที่นิสิตคิดว่าเป้นประโยชน์ต่อสังคม

19 วิธีกับการประหยัดน้ำมันที่คุณทำได้

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันในบ้านเราถีบตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ บรรดาผู้ใช้รถต่างโวยกันว่าทำไมรัฐบาลไม่ทำอะไรบ้าง เรื่องนี้ ต่างคนต่างความคิด ต่างจิตต่างใจ แม้ว่าราคาน้ำมันจะแพงแสนแพงเท่าไร ก็คงไม่มีใครช่วยอะไรได้เพราะฉะนั้น บรรดาผู้ใช้รถ อย่างเราๆ ท่านๆ ก็คงต้องหาวิธีประหยัดน้ำมันกันไว้หล่ะครับ เพื่อจะได้ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าด้วย
เราจึงมีเคล็ด (ไม่) ลับในการช่วยท่านประหยัดน้ำมันมาฝาก ท่านทราบหรือไม่ว่า การขับรถอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ท่านประหยัด และลดภาระค่าใช้จ่ายในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังจะเป็นการรักษารถยนต์ ให้มีอายุการใช้งาน ที่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้นด้วย สำหรับวิธีการใช้รถให้ประหยัดน้ำมันนั้น มีหลักง่ายๆ 19 ข้อ ดังนี้
วิ่งไปอุ่นไป เงินเหลือเก็บ น้ำมันเหลือใช้
ไม่ควรอุ่นเครื่องยนต์ก่อนออกรถ เพราะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยไม่จำเป็น เมื่อออกรถใหม่ๆ ควรขับรถไป ด้วยความเร็วต่ำ ไปสัก 1- 2 กม. จะเป็นการอุ่นเครื่องไปในตัวครับ
กำหนดเป้าหมาย ประหยัดเวลา ประหยัดน้ำมัน
มีจุดหมายในการเดินทางการใช้รถจะต้องมีแผนการเดินทางว่าจะไปถึงที่หมายได้เร็วขึ้น ไม่ใช่ขับไปโดยไร้จุดหมาย
จอดติดเครื่อง ผลาญน้ำมัน เผามลภาวะ
ไม่ควรติดเครื่องยนต์ระหว่างจอดรถในอาคารต่างๆ เพราะการจอดรถที่ติดเครื่องทิ้งไว้ 5 นาที ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน 0.3 ลิตร และเกิดไอเสียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ต่อสภาพแวดล้อมและยังผิดกฎหมายด้วยนะครับ โดนปรับหลายพันบาททีเดียว
ขับนิ่มๆ ประหยัดแน่ๆ
อย่าขับรถเร็ว การขับรถเร็วในการใช้รถทางไกล จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็น ควรขับรถ ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ในอัตราที่เหมาะสม คือ 60-80 กม./ชม. ที่ 1,800 รอบ ท่านจะประหยัดน้ำมันได้ถึง 10-15 เปอร์เซ็นต์ หากขับเร็วขึ้นเป็น 100 กม./ชม. จะเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 6% การควบคุมความเร็วให้สม่ำเสมอเหมือนการคุม เงินไม่ให้ไหลออกจากกระเป๋าท่าน แถมชีวิตก็ปลอดภัยอีกด้วย
ออกกระชาก เบรกกระทืบ ทั้งพัง ทั้งซด
อย่าออกรถเร็ว แบบรถแข่งการออกรถเร็วอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนต่างๆ ก็สึกหรอมากเช่นกัน ควรหลีกเลี่ยงการใช้เบรคโดยไม่จำเป็น เพราะจะทำให้ผ้าเบรค และอุปกรณ์การเบรคต่างๆ สึกหรอ เร็วกว่าปกติ
ยิ่งเบิ้ล ยิ่งซด
เกียร์ว่างแต่กลับเร่งเครื่อง สูญน้ำมันไปฟรีๆ แถมเครื่องยนต์ยังจะพังก่อนกำหนดแน่นอน
เลี้ยงคลัตซ์เมื่อไหร่ ทั้งซด ทั้งเปลือง
การเลี้ยงคลัตซ์ตลอดเวลาของการขับ จะทำให้คลัตซ์สึกหรอเร็ว ทุกครั้งที่ชลอความเร็วไม่จำเป็นต้องเหยียบคลัตซ์ ให้ใช้วิธีผ่อนความเร็วก่อน และจึงค่อยเหยียบคลัตซ์เมื่อรถใกล้หยุด จะช่วยยืดอายุคลัตซ์ให้ยาวนานขึ้น
อย่าพักเท้าที่คลัตซ์ หรือเบรค
ซึ่งจะก่อให้เกิดความสึกหรอโดยไม่จำเป็น และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
อย่าลืมปลดเบรกมือ
ถ้าในรถยนต์รุ่นเก่า เมื่อปลดเบรกมือรถยนต์ก็วิ่งออกไปได้แต่จะมีความฝืดมากกว่าปกติ ถ้าขับไปเรื่อยๆ จะทำให้เบรกเสียได้ และสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น แต่ในรถยนต์คู่มือมาตรฐาน สำหรับคนมีรถรุ่นใหม่ (กรังปรีดิ์ เรียบเรียง) ถ้าลืมปลดเบรกมือ รถยนต์จะไม่วิ่งต้องปล่อยเบรกมือเสียก่อนจึงจะวิ่ง อย่าลากเกียร์โดยไม่จำเป็นควรเปลี่ยนเกียร์ ตามจังหวะ และรอบความเร็ว ในการใช้งานนั้น เพราะการลากเกียร์นานๆ จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก กินน้ำมันมากขึ้น
วิ่งเร็วเกียร์สูง วิ่งช้าเกียร์ต่ำ
ไม่ควรขับรถลากเกียร์ต่ำนานๆ เพราะจะทำให้เกียร์ทำงานหนัก กินน้ำมันมาก เกียร์ 1 และ 2 เหมาะกับความเร็วต่ำ เกียร์ 3, 4 และ 5 เหมาะกับความเร็วสูง ควรใช้เกียร์ 1 ในการออกรถทุกครั้ง และควรเข้าเกียร์ให้เหมาะสมกับช่วง ความเร็วของรถ และสภาพของถนนด้วยครับ
คาดการณ์ล่างหน้า ทั้งประหยัด ทั้งป้องกันอุบัติเหตุ
ควรคาดการณ์ล่วงหน้า ขณะขับรถเมื่อใกล้ทางแยกหรือทางม้าลายต่างๆ ควรจะชะลอความเร็วแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่เมื่อใกล้แล้ว จึงค่อยลดความเร็ว ไม่ควรเข้าเกียร์ว่างและเหยียบเบรคเพื่อชลอ เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ควรจะแตะเบรคในขณะ ที่เข้าเกียร์อยู่ เมื่อจวนจะหยุดจึงเหยียบคลัตซ์ หรือปลดเกียร์ว่าง
บรรทุกหนักเกิน ซดน้ำมันเพลินแน่
ไม่ควรบรรทุกสิ่งของที่ไม่จำเป็น เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้เครื่องยนต์สึกหรอ เร็วกว่าที่ควรด้วย การบรรทุกของไม่จำเป็น 25 กม. และวิ่งไป 50 กม. จะเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 20 ซีซี
ระวังเรื่องล้อและยาง
ตรวจวัดลมยางอยู่เสมอ ปรับลมยางให้เหมาะสมตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำในคู่มือรถ ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง เพราะถ้าลมยางอ่อนเกินไปจะทำให้หน้ายางมีความเสียดสีมาก ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากเช่นกัน ถ้าเติมลมยางแข็งเกินไป จะเป็นอันตรายต่อการขับขี่ คือจะทำให้หน้ายางเสียดสีกับพื้นถนนน้อยเกินไปทำให้ไม่เกาะถนนหรืออาจทำให้ยางเกิด ระเบิดได้ หากได้รับการสะเทือนมากเวลาขับบนถนนที่ชำรุดเป็นหลุมเป็นบ่อ หากความดันยางต่ำกว่ามาตรฐานทุกๆ 1 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว จะสิ้นเปลืองน้ำมันร้อยละ 2 ควรระวังศูนย์ล้อให้ถูกต้องเสมอ อย่าให้ชนหรือกระทบกระเทือนจนศูนย์ ล้อหน้าเสีย เพราะเป็นผลทำให้ยางสึกหรอผิดปกติ และเพิ่มภาระให้กับเครื่องยนต์ทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไป โดยเปล่าประโยชน์
เย็นเกินจ่ายมาก เย็นธรรมชาติจ่ายพอดี
ควรใช้เครื่องปรับอากาศเท่าที่จำเป็นการใช้เครื่องปรับอากาศทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น และจะมีความสิ้นเปลือง น้ำมันเชื้อเพลิง 10 เปอร์เซ็นต์ และน้ำมันที่เผาไหม้ไม่หมดซึ่งอาจหลงเหลืออยู่ในกระบอกสูบจะเป็นตัวการทำให้ เครื่องยนต์ สึกหรออีกด้วย ควรเปิดเครื่องปรับอากาศแต่พอเหมาะ ปรับปุ่มความเย็น และความแรงลมให้สัมพันธ์กัน จะช่วยประหยัด น้ำมันแน่นอน และควรปิดเครื่องปรับอากาศ ก่อนรถจะจอด 500 เมตร ถึง 1 กิโลเมตร จะช่วยประหยัดได้มากครับ
วางแผนเส้นทางพิชิตรถติด ประหยัดค่าใช้จ่าย
กำหนดการใช้เส้นทางรถยนต์ในแต่ละวัน หลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดหนาแน่น หลีกเลี่ยงสภาพถนนที่ไม่ดี เพราะสภาพถนน ที่ไม่ดีทำให้สูญเสียน้ำมันเพิ่มขึ้นดังนี้
- ถนนราดยางที่มีผิวเสียหายร้อยละ 15
- ลูกรังร้อยละ 35
- ทรายแห้งร้อยละ 45
และทุกครั้งที่มีการเดินทางควรศึกษาเส้นทางแผนที่ให้เข้าใจ จะช่วยให้เดินทางถึงที่หมาวยได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และควรจะมีแผนที่ประจำรถด้วย เพื่อความสะดวกรวดเร็ว
ล้างให้สะอาด
การล้างฝุ่นและโคลนใต้ท้องรถออกให้หมด นอกจากจะเป็นการช่วยลดน้ำหนัก ยังป้องกันสนิมด้วย
การบำรุงรักษาเครื่องให้อยู่ในสภาพที่ดี
หมั่นตรวจไส้กรองเสมอ ไส้กรองเป็นส่วนสำคัญในการที่จะถ่ายเทอากาศเข้าไปทำปฏิกิริยาภายในเครื่อง ถ้าชำรุด หรืออุดตัน จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักกว่าปกติ และจะสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น ควรทำความสะอาดไส้กรอง อากาศเป็นประจำ ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเมื่อถึงกำหนด ควรเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นทุกๆ ระยะ 5,000 กม. ควรตรวจสอบรอยรั่วในระบบ น้ำมันเชื้อเพลิงควรบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้ดีตลอดเวลา จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ร้อยละ 3-9 %
อย่าบรรทุกสิ่งของบนหลังคาโดยไม่จำเป็น
เพราะจะเกิดแรงต้านลม ทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานมากกว่าปกติ เป็นการสิ้นเปลืองน้ำมัน
ร่วมด้วยช่วยกัน คาร์พูล (Car Pool) ไปทางเดียวกันไปรถคันเดียวกัน
การเดินทางด้วยระบบคาร์พูล จะทำให้จำนวนรถยนต์ในถนนลดลง การจราจรดีขึ้น ใช้เวลาในการเดินทางลดลง คุณภาพอากาศบนถนนดีขึ้น ที่จอดรถมากขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางและบำรุงรักษารถยนต์ลดลง

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552

HipHop

ในช่วงปลายปี1960ซึ่งเป็นช่วงจุดอิ่มตัวของ เพลงยุค ’60 คนเริ่มที่จะหาแนวเพลงใหม่ๆที่ฉีกออกไปและก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ Kool Herc หนุ่มชาวจาไมกาที่ย้ายมานิวยอร์คพร้อมกับนำดนตรีสไตล์จาไมกาเข้ามา จุดเด่นของเค้าก็คือการเปิดเพลงพร้อมกับท่อนร้องสดๆควบคู่กันซึ่งก็ได้รับ ความนิยมขึ
้นเรื่อยๆ จนมาวันนึง Kool Herc พบว่าเพลงบางเพลงสามารถทำให้คนเต้นรำกันได้อย่างสนุกสนานแต่มีช่วงเวลาที่ น้อยไป เขาจึงนำเครื่อง Turntable มา2ตัวแล้วเปิดเพลงเดียวกันแต่สลับกลับไปกลับมาทำให้เกิดการ Mixing ขึ้นเป็นครั้งแรกซึ่งต่อมา Kool Herc ได้รับการยอมรับว่าเป็น DJ คนแรกของโลก


นอกจากนั้น Kool Herc ยังเป็นคนริเริ่มคำร้องต่างๆอย่างเช่น “ Throw your hand in the air / and wave ‘em just like ya don’t care” ซึ่งเมื่อก่อนเรียกกันว่า “Mcing” ก่อนจะกลายมาเป็น “Rap” ในปัจจุบัน. หลังจากนั้น Kool Herc ก็มอบหน้าที่แร็ปให้กับเพื่อน2คนคือ Coke la rock และ Clark Kent (คนละคนกับตาSuperman นั่นนะครับ) และตั้งทีมขึ้นมาชื่อว่า “Kool Herc and the Herculoid” ถือเป็นกลุ่มMC ทีมแรกของโลก

จากนั้นในปี 1975 Grand Wizard Theodore ก็ค้นพบเทคนิกการ Scratching อย่างบังเอิญขณะกำลังเล่นอยู่ในห้องนอนของตัวโดยเกิดจากการดึงแผ่นกลับไป กลับมาทำให้
เกิดเสียงแปลกๆขึ้น. จากนั้นเค้าเริ่มทดลองดูกับแผ่นอื่นๆจนได้เสียงที่คนฟังเข้าใจและนำมาแสดง. และก็ได้รับรางวัลจาก International Turntable Foundation ในฐานะผู้คิดค้นการ Scratch


ช่วงนั้นเริ่มมีการออกอัลบั้มฮิพฮอพขึ้น และ1ในนั้นคือ “Rapperdelight” ของ Sugar Hill สามารถขายได้ถึง2ล้านก้อปปี้ทั่วโลก และยังถูกวางเป็นรากฐานของเพลงฮิพฮอพมาจนถึงทุกวันนี้
ปี1983 ซิงเกิ้ล “White line(don’t do it)” ของ Grand Master Flash ร่วมกับ Melle Mel ซึ่งเป็นเพลงแอนตี้การใช้โคเคน ก็ดังกระหึ่มไปทั่วโลกและผลักดันให้แนวเพลงฮิพฮอพหลุดจากตลาดอันเดอร์กราวน์ ขึ้นมาเท
ียบแนวอื่นอย่างสง่าผ่าเผย

ต่อมา กลุ่มคนจากเยอรมันในนาม “The Kraftwork” ได้นำแนว Africa Bombata เข้ามาเผยแพร่ด้วยซิงเกิ้ล “Trans-Europe Express” ซึ่งเป็นเพลงแร็ปที่มีเสียง Electronic แทรกอยู่ เพลงอย่าง “Planet rock” ที่ร่วมงานกับ Soul Sonic ก็ขายในอเมริกาได้ถึง 620,000 ก้อปปี้ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าของเพลงแนวฮิพฮอพอย่างแท้จริง, วัฒนธรรมฮิพฮอพทั้ง ทีมMC, นักพ่น Graffiti, B-Boy เริ่มถือกำเนิดขึ้น

ในปี 1984 วงRun D.M.C. ก็จุดประการวัฒนธรรมการแต่งตัวของชาวฮิพฮอพโดยมาพร้อมกับชุดกีฬาและสร้อยทองเส้นโตซึ
่งต่อ มาเรียกกันว่าการแต่งตัวแบบ “Streetstlye”. เพลงอย่าง “My Adidas” ที่ร้องถึงรองเท้าคู่โปรดทำให้ Run D.M.C.เป็นนักร้องฮิพฮอพกลุ่มแรกที่มีสปอนเซอร์เพราะ Adidas ยอมจ่ายเงินเป็นจำนวนเลข6หลักซึ่งถือว่ามากในสมัยนั้นเพื่อให้ใส่ชุดของพวก เค้าตั้งแ
ต่หัวจดเท้าเลย


ปีต่อมา กลุ่ม Rapperอื้อฉาว จากไมอามี่นาม 2 Live Crew ก็ทำเอาแตกตื่นด้วยเนื้อหาที่เน้นขายเรื่องใต้สะดือเป็นหลักเกือบทั้ง อัลบั้มจนมีข่า
วถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลและจั่วหัวหน้า1ไปทั่วประเทศกับ อัลบั้ม “As nasty as they wanna be” หลังจากมีการฟ้องร้องกันไปพวกเขาก็ยังไม่เข็ดแต่กลับจัดทัวร์คอนเสิร์ตเรต R และออกอัลบั้ม “Banned in the U.S.A.” อีกแต่แล้วก็ค่อยๆเงียบหายไปโดยทิ้งเพลงอย่าง “Me so horny” ไว้ให้นึกถึง


1986 เพลง “Fight for your right to party” ของ the Beastie boys กลายเป็นเพลงโปรดของบรรดาเหล่าวัยโจ๋หัวดื้อทั้งหลายทั่วโลก และด้วยเหตุที่สัญลักษณ์ของพวกเค้ามีลักษณะคล้ายโลโก้ที่ติดอยู่หน้ารถ Volkswagon จึงถูกวัยรุ่นขโมยแกะออกมาจากรถระบาดไปทั้งอเมริกาและยุโรป

ถัดมาอีกปี the Beastie boys ค้นพบหนุ่มผู้มีพรสวรรค์นาม LL Cool J นำมาขัดเกลาออกซิงเกิล “I need love” ในสไตล์เสียงร้องนุ่มๆเซ็กซี่ๆ จนเป็นที่มาของเพลงแนว Rap&Ballad หรือ R&B ในยุคแรกๆและเพลงนี้ก็ขึ้นถึง European top10 ส่วนตัวของ LL Cool J เองก็ขึ้นทำเนียบเป็น Superstar รุ่นใหญ่ที่อยู่ในวงการมายาวนานที่สุดและยังคงทำเพลงในสไตล์ตัวเองอยู่มาจน ถึงปัจจุบ
ัน


ปี1988 “NWA” ที่มีสมาชิกในกลุ่มคือ Ice Cube(คนก่อตั้ง), Dr Dre, DJ Yella, MC Ren และ Eazy-E ถูกกล่าวขวัญกันอย่างแพร่หลายด้วยแนวเพลงที่มีเนื้อหารุนแรงเกี่ยวข้องกับยา เสพติด, ปืน พูดถึงการตายอย่างน่าเศร้าของเด็กวัยรุ่นผิวดำที่เข้าไปพัวพันกับแก๊ง อิทธิพลและพวกพ
่อค้ายาทำให้คนอเมริกันต้องเหลียวมามองสังคมเหล่านี้


เพลง “f**k the police” ที่เหล่า N.W.A. อ้างว่าแค่พูดในสิ่งที่เห็นถึงการทำงานของตำรวจนอกรีตใน L.A. ทำให้ F.B.I. ยื่นมือเข้ามาสืบสวน, คลื่นวิทยุและโทรทัศน์ล้วนแต่กระหน่ำเปิดเพลงของพวดเค้า ซิงเกิ้ล “Straight Outta Compton” ได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำในเวลาเพียงแค่6อาทิตย์หลังโปรโมท แม้ว่าพวกเค้าจะแยกย้ายกันไปเพื่อทำงานเดี่ยวของตัวเอง แต่NWA ก็ยังถูกยกให้เป็น Gangsta Rapper ที่ดังที่สุดเท่าที่เคยมีมาอยู่ดี

ปี1988นี้ยังได้เกิดศิลปินดังๆอีกมากมายอาทิเช่น Public Enemy, Eric B and Rakim, Salt-N-Pepa, DJ Jazzy Jeff and the Fresh Prince (Will Smith)

1999 2Pac Amaru Shakur หรือที่รู้จักกันดีในนาม 2Pacก็เริ่มสร้างชื่อเสียงในวงการกับอัลบั้ม “2Pacalypse now” ที่ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำและซิงเกิ้ล “Trapped” ก็ไต่ขึ้นถึงอันดับ3ใน U.S.Chart และ2ปีหลังจากนั้นทั่วโลกก็ได้รู้จัก 2Pac กับอัลบั้ม “Strictly a my N.IG.G.A.Z” 2Pac กลายเป็นศิลปินฮิพฮอพอันดับต้นๆของวงการทันที


ปี 1992 “House of Pain” วง Hardcore Rapper ลูกผสมระหว่าง American&Irish ก็กระหึ่มโลกด้วยเพลง “Jump Around” ที่ภายหลังกลายมาเป็นเพลงที่เปิดกันทุกคลับ หลังจากนั้น ก็แยกย้ายกันไป Everlast ก็ไปออกอัลบั้มและ DJ Leathal ก็ไปเป็นดีเจให้กับวงดังอย่าง Limp Bizkit นอกจากนี้ ศิลปินอย่าง Cypress Hill ก็เริ่มนำสไตล์ Rap แบบ Latin และ Mexican เข้ามาเผยแพร่ในฝั่ง West coast ทำให้ฝั่ง West coast เปิดกว้างสำหรับเพลงแนวใหม่ๆเสมอในขณะที่ East coast ยังคงอนุรักษณ์ในแบบเดิมๆไว้

1993 ด้วยแรงโปรดิวซ์เองของ Dr Dre ทำให้ Snoop Doggy Dogg ก้าวขึ้นมาจรัสแสงในวงการอย่างเต็มภาคภูมิ, อัลบั้ม “Doggy Style” นับเป็นอัลบั้มฮิพฮอพอัลบั้มแรกที่ขึ้นอันดับ1ในเวลาแค่เพียงอาทิตย์เดียว และขายได้ม
หาศาลกว่า4ล้านก้อปปี้ทั่วโลก ทำให้กระแสเพลงแนวฮิพฮอพเริ่มฮิตไปทั่วโลก ศิลปินต่างๆพากันทยอยออกเทปไม่ว่าจะเป็น Wu Tang Clan, Nas, Warren G


1995 Notorious B.I.G. หรือชื่อจริงว่า Christopher Wallace ออกอัลบั้ม “Ready to die” ที่ใช้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงในช่วงเด็กที่ต้องวนเวียนอยู่กับการขายยา เสพติดเพื่
อหาเงินประทังชีวิตและอัลบั้มที่ 2 “Life after death” ได้รับรางวัล Platinum หลายรางวัลรวมถึงเพลงในอัลบั้มอย่าง “One more chance” ก็ไต่ขึ้นอันดับ1อย่างรวดเร็ว



[color=green] มาถึงปี 1996 Notorious B.I.G. ก็ค้นพบช้างเผือกอย่าง Lil’ Kim ที่ดังตั้งแต่อายุ17กับเพลง “Crush on you” แม้จะถูกวิจารณ์จากผู้คร่ำหวอดในวงการฮิพฮอพว่าเพลงของเธอหยาบคายและสกปรก แต่เธอก็ไม
่แยแสแต่อย่างใด


ในปีเดียวกัน วง “The Fugees” ซึ่งประกอบด้วย Wyclef, Pras และ Lauren Hill ก็พลิกโฉมวงการเพลงฮิพฮอพอีกระลอกกับเพลงที่มีเนื้อร้องฟังสบายๆ ใช้คำไพเราะ ต่อต้านความรุนแรงบวกกับเมโลดี้ที่เป็นการรวมฮิพฮอพเข้ากับ Soul, Raggae และ Jazz ทำให้เพลงเก่าที่เอามาร้องใหม่อย่าง “Killing me softly” ของ Roberta Flack’s เป็นซิงเกิ้ลที่ขายได้มากที่สุดตลอดกาลด้วยยอดขายถึง 9ล้านก้อปปี้ ได้รับรางวัล Grammy สาขา Best Rap Album ในปี1997และเป็นซิงเกิ้ลแห่งปีด้วย

แต่ที่น่าจดจำที่สุดคงหนีไม่พ้นการประกาศสงครามฮิพฮอพระหว่างฝั่ง East coast ที่นำโดย 2Pac เน้นสโลแกนที่ว่า “Keep it real” ยึดแนวเพลงแบบเดิมๆ กับฝั่ง West coast ที่มีหัวเรือใหญ่อย่าง Notorious B.I.G. กับวลี “It’s all good” เปิดใจรับแนวทางใหม่ๆเสมอ แข่งกันอย่างดุเดือดก่อนจะจบลงอย่างน่าเศร้าเมื่อทั้งคู่ถูกยิงตายขณะอยู่ใน รถเหมือน
กันในเวลาห่างกันไม่นานและคดีก็ยังไม่สามารถคลี่คลายจวบจนทุกวันนี้


1997 หลังจากเหตุการณ์น่าสลดผ่านไป ผลการสืบสวนคดีที่เกิดขึ้นได้พัวพันไปถึงค่าย Death Row Records ที่ Dr Dre กุมบังเหียนอยู่ Suge Knight โปรดิวเซอร์ของค่ายติดคุก9ปี, Afeni Shakur แม่ของ 2Pac ฟ้องร้องบริษัทข้อหาฉ้อโกงเงินลูกชายของเธอนับล้าน ศิลปินรายอื่นพลอยตาสว่างและพยายามยกเลิกสัญญาหรือปรึกษาทนายที่จะออกจาก ค่าย จะมีก็แต่เพียง Daz Dillinger ที่ยังอยู่

Snoop Dogg ตัดสินใจย้ายหนีพร้อมกับเปิดใจให้สัมภาษณ์ว่าต้องการหลีกหนีความรุนแรงและหาที่สร้าง
สรรค์ งานใหม่ๆ แต่ประโยคที่สะกิดใจที่สุดจนถึงทุกวันนี้ก็คือประโยคที่ว่า “To tell you the truth, I fear for my life on Death Row Records”




รูปภาพ

หลายๆสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมา บางครังเเน่นอน บางสิ่งก็ไม่แน่นอนเสมอไปทุกเรื่อง

บางเรื่องอยู่กับเราจนถึงวันนี้ แต่บางเรื่องก้จากไปแบบไร้ร่องรอย

ที่เหลือก็เพียงภาพความทรงจำดีๆที่มันยังสวยงามเสมอทุกครั้งที่เปิดดู

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552

นักเดินทาง

หลังจากเรียนรู้การแยกแยะความหมาย
ระหว่างการเกี่ยวก้อยเคียงกายมากกว่าเกี่ยวพันทางจิตวิญญาณ
เราเรียนรู้ว่าความรัก ไม่ได้หมายถึงการสำนึกตระหนักสิ่งใด
คนรักก็ไม่ได้หมายถึงรักนิรันดร์จุ่มพิตไม่ได้หมายถึงพันธะผูกพัน
และของขวัญก็ไม่ได้หมายถึงคำมั่นสัญญา
เราจึงเริ่มจะยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง
ด้วยสมองมากกว่าหัวใจ ด้วยความลุ่มลึกแบบผู้ใหญ่
หาใช่ความลุ่มหลงแบบเด็กๆ เหมือนเก่า
พรุ่งนี้เลื่อนลอยเกินไปสำหรับการตั้งหวัง
เราจึงเรียนรู้ที่จะสร้างหนทางชีวิตทั้งหมดด้วยตัวเราเอง
ในวันนี้หลังจากเราได้เรียนรู้ว่า
ถ้าเราอยู่กลางแจ้งนานเกินไป
แสงอาทิตย์อาจแผดเผาเราจนไหม้เกรียมได้
เราเรียนรู้ที่จะปลูกดอกไม้ในสวนของเราเอง
แทนที่จะรอคอยให้ใครสักคนนำช่อดอกไม้มาให้
เราได้บทเรียนจากทุกบทลาว่าแท้จริงแล้ว
เราหยัดยืนอยู่ได้เข้มแข็งกว่าที่คิดไว้
คือคุณค่าความหมายคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่-ในตัวตนเราจริงแท้